. . . ตำนานของเกาะช้าง . . .
ตำนานเกาะช้าง
ตำนานเกาะช้างนี้มีความเกี่ยวพันกันกับตำนานแหลมงอบ
มีผู้เฒ่าผู้แก่เล่าในจังหวัดตราดได้เล่าไว้
หลายกระแส ผู้เขียนพอรวบรวมมาได้ ความว่า
บ้านแหลมงอบนั้น มีหญิงชราคนหนึ่ง ชื่อยายม่อม ได้เลี้ยงควาย
โดยมีคอกควายอยู่ที่สลักคอก วันหนึ่งควายได้หายไป ยายม่อมออกตามหาควาย จนไปจมน้ำทะเลตายกลายเป็น
โขดหินชื่อยายม่อม ส่วนงอบที่ยายม่อมใส่ไปนั้นกลายเป็นแหลมงอบ ควายของยายม่อมกลายเป็นโขดหินเช่นกัน
ตำนานเกาะช้างนี้มีความเกี่ยวพันกันกับตำนานแหลมงอบ
มีผู้เฒ่าผู้แก่เล่าในจังหวัดตราดได้เล่าไว้
หลายกระแส ผู้เขียนพอรวบรวมมาได้ ความว่า
บ้านแหลมงอบนั้น มีหญิงชราคนหนึ่ง ชื่อยายม่อม ได้เลี้ยงควาย
โดยมีคอกควายอยู่ที่สลักคอก วันหนึ่งควายได้หายไป ยายม่อมออกตามหาควาย จนไปจมน้ำทะเลตายกลายเป็น
โขดหินชื่อยายม่อม ส่วนงอบที่ยายม่อมใส่ไปนั้นกลายเป็นแหลมงอบ ควายของยายม่อมกลายเป็นโขดหินเช่นกัน
สำหรับเกาะช้างนั้น มีตำนานเล่าว่า เดิมเกาะช้างนั้น มีเสือขนาดใหญ่อาศัยอยู่ชุกชุมมาก โดยข้ามไปมา
ระหว่างฝั่งตำบลแหลมงอบกับเกาะช้างกันได้ ความชุกชุมของเสือที่เกาะช้างในกาลครั้งนั้นปรากฏว่า เสือย่อมเที่ยวเพ่นพ่านหากินอยู่ตามละแวกหมู่บ้านคนนั่นเอง ในช่วงปลายสมัยรัชการที่ ๔ มีญวนผู้หนึ่ง ชื่อ “องค์โด้”
มีวิชาอาคมแก่กล้า ที่สามารถขับไล่เสือออกไปจากเกาะช้างจนหมดสิ้น ในหนังสือจดหมายเหตุความทรงจำ
สมัยฝรั่งเศสยึดจันทบุรี และตราด ของหลวงสาครคชเขตต์ (อภิลักษณ์ เกษมพูลผล คอลัมภ์จดหมายเหตุเมืองตราดหนังสือพิมพ์ประชามติ :หน้า๙,๒๕๔๘) กล่าวถึงองค์โด้ ผู้นี้ไว้ว่า เป็นชาวญวณ ผู้มีวิชาอาคมที่แก่กล้าสามารถปราบเสือที่มีอยู่อย่างชุกชุมในเกาะช้างจนเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวบ้านยิ่งนัก
“...ความได้ปรากฏว่า มีผู้วิเศษคนหนึ่งชื่อ องค์โด้ ได้มาที่เกาะช้าง แล้วจัดการทำพิธีร่ายอาคมลง อาถรรพ์ขับไล่เสือร้ายให้สูญหายไป แล้วหลังจากนั้น มาจนกระทั่งบัดนี้ ไม่ปรากฏว่ามีใครพบเห็นเสืออีกเลย...”
สำหรับตำนานเรื่องนี้ นายติ้น ซึ่งเป็นชาวบ้านเกาะช้าง ได้เคยเล่าถวายสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ ๕ เมื่อครั้งเสด็จประพาสเกาะช้าง ซึ่งต่อมานายติ้นได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงติ้นต้นสกุลสลักเพชร
เรื่องราวที่กล่าวถึงตำนานเกาะช้าง ชุมชนในเกาะช้าง และบริเวณใกล้เคียง ซึ่งเป็น ๑ ใน ๕ ของตำนานและนิทานพื้นเมืองของจังหวัดตราดที่กรมศิลปากร ได้พยายามรวบรวม (มหาวิทยาลัยบูรพา,การรักษาเอกลักษณ์และสร้างภูมิต้านทานให้ชุมชนเกาะช้างเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอันเป็นผลมาจากการพัฒนาการท่องเที่ยว, ๒๕๔๕-๒๕๔๖:๗-๙) สรุปได้ดังนี้
“ในสมัยหนึ่งพระโพธิสัตว์ได้มาสร้างตำหนักเลี้ยงช้างอยู่ที่เกาะช้าง มีพลายเชือกหนึ่งเป็นจ่าโขลงชื่ออ้ายเพชรและมีสองตายายเป็นผู้เลี้ยง ชื่อยายม่อม ส่วนตานั้นไม่ปรากฏชื่อ วันหนึ่งอ้ายเพชรเกิดตกมันหนีเข้าป่าและผสมพันธุ์กับช้างป่า แลเกิดลูกสามเชือก เมื่อพระโพธิสัตว์ทราบเรื่อง สั่งให้ตายายออกตาม โดยให้ตาไปทาง
ทิศเหนือ ส่วนยายไปทิศใต้ อ้ายเพชรหนีไปจนสุดเกาะทางทิศเหนือ ก็ว่ายน้ำข้ามทะเลมาขึ้นฝั่งที่บ้านธรรมชาติ
ปัจจุบันนี้ ส่วนลูกทั้งสามตามไปแต่ว่ายน้ำไม่เป็นจึงจมน้ำตายกลายเป็นหินสามกอง ตรงบริเวณอ่าวคลองสน
ชาวบ้านเรียกว่า “หินช้างสามลูก” ส่วนอ้ายเพชรว่ายน้ำไปจนถึงกลางร่องทะเลลึกได้ถ่ายมูลไว้กลายเป็นหิน เรียกว่า “หินขี้ช้าง” เมื่อขึ้นฝั่งได้ อ้ายเพชรก็มุ่งหน้าเลียบชายฝั่งด้านใต้ ตาซึ่งเป็นผู้เลี้ยงตามไปไม่ทันจึงกลับให้ยายข้ามฝั่งตามไปคนเดียว จนกระทั่งไปตกหลุมโคลนถอนตัวไม่ขึ้นเสียชีวิต และร่างกลายเป็นหิน ชาวบ้านเรียกว่า “หินยายม่อม” ส่วนงอบที่สวมไปด้วยได้ลอยไปตอดตรงปลายแหลมและกลายเป็นหินตรงบริเวณที่ตั้งกระโจมไฟปัจจุบัน “แหลมงอบ” จึงเป็นชื่อที่ได้มาจากงอบของยายม่อมที่ลอยไปติดฝั่งนั่นเอง
เมื่อพระโพธิสัตว์ทราบเรื่องจากตาจึงเข้าใจว่า อ้ายเพชรจะต้องไปยังเกาะอีก จึงเกณฑ์คนให้ทำคอกดัก ยาวเกือบถึงท้ายเกาะด้านใต้ชาวบ้านจึงเรียกหมู่บ้านแถบนั้นว่า “บ้านคอก” และเกาะที่เกิดจากลิ่มและสลักทำคอกเรียกว่า “เกาะลิ่ม” “เกาะสลัก” และส่วนใหญ่มักจะเรียกรวมกันว่า “บ้านสลักคอก”
ส่วนอ้ายเพชรคิดข้ามไปยังเกาะจริง แต่ไม่กลับเข้าคอก แต่เดินอ้อมไปเข้าท้องอ่าวหน้านอก พระโพธิสัตว์จึงสั่งให้คนไปสกัดให้กลับมาเข้าคอก ชาวบ้านจึงเรียกที่ที่ไปสกัดช้าง ตามภาษาชาวบ้านว่า
“สลักหน้า” หรือ“บ้านสลักเพชร” ซึ่งหมายถึงการสกัด (สลัก) หน้าอ้ายเพชรนั้น ด้วยเหตุแห่งความยุ่งยากทั้งหลาย จึงเป็นเหตุให้พระโพธิสัตว์ได้ฝังอาถรรพ์ไว้ตามเกาะต่างๆเพื่อไม่ให้ช้างเข้าไปอาศัยอีก นับแต่นั้นมาจึงไม่มีช้างอาศัยอยู่บนเกาะจนกระทั่งปัจจุบัน
ภูมิปัญญา อาชีพดั้งเดิมของชุมชนเกาะช้าง
การอาชีพชาวเกาะ มีการทำสวนมะพร้าว การประมงและการหาสินค้าของป่าตามป่าเขาเป็นพื้นแต่เฉพาะที่เกาะช้างและเกาะหมาก มีการทำนา ทำสวนพริก และสวนหมาก ซึ่งปรากฏหลักฐานการทำสวนพริกไทยมาตั้งแต่สมันรัชการที่ ๕ ที่เจ้าของสวนพริกไทยและสวนหมากขอขายสวนให้เป็นของหลวงโดยพระประเสริฐวานิช ปลูกสวนหมากและพริกไทยที่ตำบลเกาะช้าง พร้อมโรงเรือน ลงทุนไปประมาณ
๗๐๐ ชั่ง มีพริกไทย ๒,๐๐๐ ค้าง สวนหมาก ๓,๐๐๐ ต้น แต่ขัดสนเรื่องเงินทอง จึงได้ตัดสินใจขายสวนดังกล่าวแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้าสยามมหามงกุฎ เป็นเงิน ๓๒๐ ชั่ง และตนก็ย้ายไปขายฝิ่นที่เมืองลาวโดยเจ้าคุณสุรศักดิ์มนตรี (มหาวิทยาลัยบูรพา,การรักษาเอกลักษณ์และสร้างภูมิต้านทานให้ชุมชนเกาะช้างเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอันเป็นผลมาจากการพัฒนาการท่องเที่ยว, ๒๕๔๕-๒๕๔๖:๑๐)(ดูรายละเอียดเพิ่มเติมบทบรรณานุกรมเรื่อง “พระประเสริฐวานิช ขอขายสวนพริกสวนหมาก)
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นถึงลักษณะอาชีพการทำมาหากินของชุมชนเกาะช้าง
คือการทำอาชีพสวนหมากและสวนพริกไทยเป็นส่วนใหญ่ และมีบางส่วนของพื้นที่ประกอบอาชีพทำนาด้วย
นอกจากนี้ยังมีการประกอบอาชีพทำสวนยางพารารับเบอร์ กับสวนผลไม้เบ็ดเตล็ดบ้างเพราะพื้นที่เกาะช้างมีพื้นที่ราบ ทำนา ทำสวนได้มาก ดังนั้นการเลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่จะเลี้ยงไว้เป็นพาหนะหรือใช้ในการทำนา เช่นกระบือ ที่เกาะช้างสมัยก่อนมีการเลี้ยงไว้มาก เพราะนอกจากจะใช้ไถนา การลากเข็นไม้แล้ว ยังมีการขายกระบือส่งไปบนฝั่ง ทางแขวงจังหวัดตราดอีกด้วย สัตว์จำพวกที่เลี้ยงเพื่อเป็นอาหารมี สุกร เป็ด ไก่ เลี้ยงกัน
ทั่วไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น